ประเทศฟิลิปปินส์ ถือได้ว่าเป็นชนชาติที่มีวัฒนธรรมผสมผสานระหว่างตะวันตกกับตะวันออก จนทำให้ฟิลิปปินส์มีวัฒนธรรมที่โดดเด่นเฉพาะตัวจากการผสมผสาน ส่งผลให้มีการสร้างสรรค์ผลงานด้านสถาปัตยกรรมออกมาแบบผสมผสานจากอิทธิพลตะวันตกกับตะวันออก รวมถึงสภาพภูมิศาสตร์ประเทศฟิลิปปินส์ที่ประกอบไปด้วยเกาะต่างๆ จึงทำให้ประเทศฟิลิปปินส์มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย ดังนี้
1. อินทรามูรอส (Intramuros)
มีลักษณะเป็นป้อมปราการและกำแพงเมืองภายในมีชุมชนและสถานที่สำคัญมากมาย เช่น ป้อมซานตีเอโก โบสถ์ซานอากุสติน และหอศิลป์โบราณ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สะท้อนวิถีชีวิตและความเป็นมาของฟิลิปปินส์ แต่สิ่งที่ควรระวังคือ ด้านหลังของอินทรามูรอสมีชุมชนแออัดอยู่ และมักมีเด็กๆ แห่กันมาขอเงิน เมืองอินทรามูรอสตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำปาซิก (Pasig River) ภายในกำแพงเมืองรูปหัวธนูซึ่งเป็นกำแพงเมืองแบบตะวันตกที่ได้รับความนิยมในระยะนั้น กำแพงแต่ละด้านยาว 4 กิโลเมตร เมืองนี้เดิมเป็นที่ตั้งพระราชวังของราชาสุไลมาน กษัตริย์ชาวมุสลิม ต่อมาสเปนได้เข้ายึดและเปลี่ยนมะนิลาเป็นเมือหลวงของอาณานิคมสเปนภายในป้อมมีทั้งโบสถ์ คอนแวนต์ โรงเรียนและโรงพยาบาล ค่ายทหาร รวมถึงสถานที่ราชการต่างๆ
อินทรามูรอสถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.1571 โดยกลุ่มชาวสเปนที่มีผู้นำในการก่อสร้างคือ Miguel Lopez de Legazpi เพื่อป้องกันการรุกรานจากกลุ่มโจรสลัด ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2หลังจากที่ผ่านทั้งพายุ แผ่นดินไหว ไฟไหม้ และภัยสงคราม อินทรามูรอสก็แทบจะไม่เหลืออะไรให้เห็น กระทั่งกลายเป็นเมืองร้างในช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนที่ทางการจะยื่นมือเข้ามาบูรณปฏิสังขรณ์ จนมีสภาพดีขึ้นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเมื่อมาเยือนมะนิลา ภายในป้อมอินทรามูรอสถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองการศึกษา วัฒนธรรม ศาสนา และการค้า ฯลฯ ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเหมือนเมืองในสมัยยุโรปยุคกลางที่มีกำแพงล้อมรอบและค่ายป้อมยามมิดชิดภายในพื้นที่เกือบ 400 ไร่ ถูกล้อมด้วยกำแพงหินสูงที่มีโบสถ์ โรงเรียน อินทรามูรอสเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา
09.00 - 17.00 ทุกวันโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
2. โบสถ์ซานอะกุสติน (San Agustin Church)
|
โบสถ์ซานอะกุสติน
|
ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1599 ตามแบบสถาปัตยกรรมสเปน สร้างด้วยหินทั้งหลังมีความสง่างาม เป็นสิ่งปลูกสร้างหนึ่งเดียวภายในอินทรามูรอส ที่ไม่ถูกระเบิดในสงครามโลก ครั้งที่ 2 โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นถึงสามครั้ง ซึ่งสองครั้งแรกถูกไฟไหม้ไปโบสถ์ซานอากุสติน มีควาสวยงามสะดุดตาไม่น้อย ผนังโบสถ์ด้านหน้าชวนมองด้วยสไตล์ ที่นำเสาดอริก เกลี้ยงๆมารองรับหัวเสาแบบโครินเธียน บาน ประตูใหญ่แกะสลัก เป็นรูปนักบุญออกุสตินกับนักบุญโมนีกาผู้มารดาได้งดงาม น่าทึ่งด้วยไม้ตีนนกเนื้อแข็งของฟิลิปปินส์ และใกล้ๆ กับโบสถ์ยังมีสำนักสงฆ์และพิพิธภัณฑ์ ที่เก็บสมบัติล้ำค่าไว้ให้ได้ชื่นชมกัน อาทิ โบราณวัตถุของฟิลิปปินส์ งานศาสนศิลป์ และเครื่องปั้นดินเผาของจีน สเปน และเม็กซิกัน
ปัจจุบันโบสถ์ซานอะกุสติน กรุงมะนิลา มีรายชื่อได้รับการขึ้นทะเบียนในโครงการด้วยทรงคุณค่าโดดเด่นด้านความคิดสร้างสรรค์ วัฒนธรรม ศิลปกรรม ประวัติศาสตร์ สิ่งแวดล้อมหรือชีววิทยา และได้รับความคุ้มครองภายใต้สนธิสัญญาข้อตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับ นับเป็นพิพิธภัณฑ์ถาวรและเครื่องสืบทอดวัฒนธรรมร่วมกันของมนุษยชาติตัวโบสถ์
3. พิพิธภัณฑ์คาซา มะนิลา (Casa Manila Museum)
เป็นคฤหาสน์สมัยอาณานิคมสเปนที่อยู่ในย่านเมืองโบราณอินทรามูรอส สร้างด้วยหินภูเขาไฟและต่อเติมชั้นบนด้วยโครงสร้างไม้กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภายในตกแต่งด้วยเครื่องเรือน ของประดับบ้าน และงานศิลปะสมัยโบราณ ตัวอาคารสะท้อนให้เห็นถึงความมั่งคั่งของตระกูลต่างๆ ที่อาศัยอยู่ภายใต้การปกครองของสเปน อธิบายถึงวิถีชีวิตของชาวอาณานิคมในยุคล่าอาณานิคมของสเปนในฟิลิปปินส์ มีการบันทึกเหตุการณ์ทางด้านประวัติศาสตร์นับหลายพันปี ตั้งแต่วัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวพื้นเมืองฟิลิปปินส์ไปจนถึงศิลปะทางด้านวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป โดยภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แบ่งการแสดงนิทรรศการออกไปเป็น 3 ชั้น
ชั้น 1 เดินชมมีด ช้อนส้อม หม้อและกระทะสมัยโบราณ รวมทั้งแม่พิมพ์ทำอาหารและเตาถ่านยุคศตวรรษที่ 18 ชมถังเก็บน้ำฝนสำหรับกักเก็บน้ำไว้ใช้ในคฤหาสน์ตลอดทั้งปี จากนั้นแวะชมห้องรับประทานอาหารที่มีโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 18 ที่นั่ง พัดลมเพดานที่ทำงานด้วยแรงคน ทำให้รู้สึกเย็นสบาย
ชั้น 2 ห้องนอนและห้องสมุดกึ่งห้องทำงาน นักท่องเที่ยวจะเห็นตู้เซฟและหีบสมบัติเก็บเหรียญเงินและเหรียญทอง ส่วนห้องน้ำออกแบบมาให้สองคนนั่งกระทบไหล่และคุยกันได้อย่างต่อเนื่องระหว่างทำธุระส่วนตัว
ชั้น 3 ห้องนั่งเล่นของครอบครัว ชมเครื่องเรือนโบราณทำจากไม้ เช่น โซฟา เก้าอี้ และนาฬิกาลูกตุ้มขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีโต๊ะหินอ่อนที่ขาโต๊ะทำจากไม้ และแท่นวางรูปสลัก เครื่องเรือนในคฤหาสน์มีทั้งเครื่องเรือนแบบจีน ยุโรป และเครื่องเรือนที่ผลิตในฟิลิปปินส์
พิพิธภัณฑ์คาซาเป็นบ้านทรงสเปนสวยงาม โดยเป็นย่านที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูงชาวสเปนเคยถูกไฟไหม้เสียหายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ในช่วง ค.ศ.1980 ภายในตกแต่งอย่างดี เพื่อถ่ายทอดภาพชีวิตของครอบครัวชาวฟิลิปปินส์ในช่วงที่ตกเป็นอาณานิคมของสเปนเปิดให้บริการให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ทุกวันอังคาร – วันอาทิตย์
4. สวนไรซาล(Rizal Park)
เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของฟิลิปปินส์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่แห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ในใจกลางกรุงมะนิลาเป็นศูนย์กลางสำหรับชาวมะนิลาและนักท่องเที่ยวที่นิยมมาพักผ่อนหย่อนใจ เล่นกีฬา และซึมซับมรดกทางวัฒนธรรม สวนไรซาลสามารถเรียกอีกชื่อว่าลูเนต้า(Luneta) เนื่องจากพื้นที่มีลักษณะคล้ายรูปพระจันทร์
สวนไรซาลสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1913 เพื่ออุทิศแด่ ดร.โฮเซ่ ไรซาล (Dr.Jose Rizal) วีรบุรุษผู้นำการต่อต้านระบบอาณานิคมของสเปน ที่ช่วงปีค.ศ. 1896-1898 อนุสาวรีย์ของเขาตั้งโดดเด่นอยู่กลางผืนหญ้าเขียวขจี และในบริเวณเดียวกันมีเสาธงอันแสดงถึงการประกาศอิสรภาพเหนือสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ.1941 นอกจากนี้อนุสาวรีย์แห่งนี้ยังมีความสำคัญในฐานะเป็นหลักกิโลเมตรสำหรับการนับระยะถนนสายต่างๆ บนเกาะลูซอนซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของฟิลิปปินส์อีกด้วย รวมถึงยังเป็นสถานที่จัดงานสำคัญทางประวัติศาสตร์และจัดแสดงมินิคอนเสิร์ตกลางแจ้งทุกวันอาทิตย์
5. นาขั้นบันไดบานาเว (Banaue Rice Terraces)
เป็นสถานที่ที่มีการปลูกข้าวแบบขั้นบันไดบนเกาะลูซอน ได้รับการยกย่องให้เป็นแหล่งมรดกโลกด้านวัฒนธรรม โดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1995 และมักจะถูกเรียกว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เนื่องจากนาขั้นบันไดมีภูมิทัศน์วัฒนธรรมโบราณที่สวยงาม เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการพัฒนาการทำการเกษตรแบบยั่งยืนด้วยเทคนิคดั้งเดิม ถูกสร้างขึ้นสำหรับการเพาะปลูกข้าวโดยชนเผ่า Ifugao ที่อพยพจากประเทศไต้หวันมาสู่ฟิลิปปินส์ เมื่อ 2,000 ปีก่อน มีการใช้เครื่องมือธรรมดาสกัดพื้นที่บนไหล่เขา และที่ลาดเชิงเขาและสร้างระบบชลประทานโดยปราศจากการใช้เครื่องจักรกล ปรับภูเขาทั้งลูกให้กลายเป็นแหล่งเพาะปลูกขนาดใหญ่ ปัจจุบันได้กลายเป็นที่ปลูกข้าวของชาวนาที่มีลักษณะเป็นขั้นบันไดและเหมาะแก่การมาพักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางธรรมชาติสีเขียวที่มีความสมบูรณ์และความประทับใจที่สุด
6. พิพิธภัณฑ์ขนมหวาน(Dessert Museum)
ตั้งอยู่ด้านล่างของโรงแรมคอนราดมะนิลา เมืองปาเซย์ซิตี้ โดยแบ่งออกเป็นทั้งหมด 8 ห้อง แต่ละห้องตกแต่งด้วยขนมหวานสีสันสดใส เช่นสายไหม หมากฝรั่ง เยลลี่หมีกัมมี่แบร์ ลูกกวาด โดนัท มาร์ชเมลโล่ไอศกรีม มาการอง และเค้กป๊อป ซึ่งคนที่เข้าไปข้างในสามารถกระโดด เล่น หมุนตัว ไถลตัว และสามารถเลือกหยิบกินอะไรก็ได้ไม่อั้นตามใจชอบ
ก่อนที่ทุกคนจะเข้าไปยังดินแดนที่เต็มไปด้วยน้ำตาลแห่งนี้ ต้องลอดผ่านห่วงโดนัทยักษ์และสไลด์ตัวลงมาตามสไลเดอร์สีชมพู หรือเดินลงบันไดขั้นสีเหลือง เมื่อหลุดเข้ามาข้างใน จะพบกับโดนัทสตรอว์เบอร์รี่ห้อยลงมาจากเพดาน จากนั้นก็จะมีประตูให้เลือก 2 บาน บานแรกสีฟ้าเขียนว่า Nice (ประตูเด็กดี) และบานที่สองสีชมพู เขียนว่า Naughty (ประตูเด็กซน) ซึ่งทั้งสองบานจะพาผู้เข้าชมไปสู่สถานที่ที่แตกต่างกันไป เช่น ห้องแคนดี้ ห้องป่าสายไหม ห้องไอศกรีม ห้องมาร์ชเมลโล่ ห้องลูกกวาดหลากสี เป็นต้น
นอกจากได้ทั้งความสนุกและความเอร็ดอร่อยแล้ว ยังได้สาระประโยชน์เกี่ยวกับขนมหวานชนิดต่างๆอีกด้วย โดยจำหน่ายตั๋วหน้างานอยู่ที่ประมาณ 480 บาท (15.3 $) แต่หากจองทางออนไลน์จะลดเหลือประมาณ 420 บาท (13.4 $) จำกัดเวลา 2 ชั่วโมงต่อคน
อ้างอิง
No comments:
Post a Comment